วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

โมอายยักษ์ แห่งเกาะอีสเตอร์

20:20


ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์

พบภาพปล่องภูเขาไฟ คล้ายกับใบหน้า

รูปปั้นโมอายแห่งเกาะอีสเตอร์




พบภาพปล่องภูเขาไฟ  คล้ายกับใบหน้า รูปปั้นโมอายแห่งเกาะอีสเตอร์  สิ่งผิดปกติอื่นๆ  บนพื้นผวดวงจันทร์
โมอาย (Moai) คือ รูปปั้นหินซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์และส่วนศีรษะมีขนาดใหญ่เด่นชัด โมอายถูกพบมากกว่า 600 ตัว กระจายอยู่ทั่วเกาะอีสเตอร์ อุทยานแห่งชาติลาปานุย ประเทศชิลี โมอายเกือบทั้งหมดที่พบนั้นถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียว แต่ก็มีบางตัวซึ่งมี Pukau ลักษณะคล้ายหมวกเป็นชิ้นต่างหากอยู่บนศีรษะ โมอายเกือบทั้งหมดถูกแกะสลักมาจากเหมืองหินที่ราโน ราราคู (Rano Raraku) ซึ่งเป็นที่ที่พบโมอายอยู่กว่า 400 ตัว อยู่ในกระบวนการแกะสลักซึ่งใกล้เสร็จสมบูรณ์


เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่ โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ 
ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน ? สร้างขึ้นได้อย่างไร ? อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่ อ ค.ศ. 400 เป็นผู้สร้างขึ้น 
แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการความรู้ของคนในสมัยอดีต 

เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้น หาคำตอบต่อไป

ความลี้ลับของ “เกาะอีสเตอร์” (Easter Island) ประเทศชิลี เป็นหัวข้อหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ และนักวิชาการทั้งหลายพยายามหาข้อพิสูจน์และถกเถียงกันมายาวนานนับร้อยปี 
เกี่ยวกับปริศนาเกาะอีสเตอร์ รวมถึงหินแกะสลักขนาดยักษ์ที่ตั้งเรียงราวอยู่ตามชายหาด และทั่วบริเวณเกาะ




โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโด่งดังของหินสลักขนาดยักษ์ “โมอาย” หรือ โมอาอิ (Moai) ที่มีความน่าอัศจรรย์ เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอก
ที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด และเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว 
อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งเสื่อมสลาย
ได้ง่ายจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตามกาลเวลา

จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกของโลก ในปี 2538 นอกจากจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลกอันมีคุณค่าแก่การรักษาและอนุรักษ์แล้ว 
โมอายยังติดโผ 21 สถานที่ ว่าที่ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ได้ทำการคัดเลือกไปแล้วเมื่อปี 2007 ที่ผ่านมาอีกด้วย

เจ้าหินโมอายนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ที่แน่แท้คือ หินเหล่านี้มีอยู่บนเกาะอีสเตอร์ เกาะเล็กๆรูปสามเหลี่ยมพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร 
ท่ามกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากทวีปอเมริกาใต้ประมาณ 3,747 กิโลเมตร นักภูมิศาสตร์เชื่อว่า เกาะนี้ถือกำเนิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ 
ใต้มหาสมุทรเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว

โมอายหันหน้าเข้าหาฝั่งเสมอทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเกาะ ที่ Anakena Beach, โมอาย ที่ Ahu Naunau 7 ตัว 4ใน7 ตัวนี้มี Pukao บนหัว
นักวิชาการหลายท่านสันนิษฐานไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะแห่งนี้ครั้งแรกคือชาว “โพลีนีเซียน” (Polynesia) 
เมื่อคนเหล่านี้เดินทางมาถึงเกาะก็ได้บุกเบิกสร้างเมืองทันที โดยเอาสัตว์เลี้ยง และต้นไม้มา
ปลูกบนเกาะ


และในปี ค.ศ.380 ได้เริ่มมีรูปสลักคนนั่งคุกเข่า ซึ่งสลักจากหินบะซอลต์หรือกากแร่ภูเขาไฟ ต่อมาในยุค ค.ศ.1100 ได้มีรูปสลัก “โมอาย” (Moai) 
ซึ่งสลักจากหินภูเขาไฟ “ราโน รารากู” (Rano Raraku) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ ลักษณะเป็นครึ่งตัว ลำตัวส่วนบนเหมือนผู้ชาย หน้าตาคล้ายกันหมด
คิ้วโหนกออกมาจนเป็นสัน ดวงตาใช้วัสดุอื่นฝั่งลงไปในเนื้อหิน ช่วงปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อยรับกับปากที่แบะและยื่น มีคางเป็นเหลี่ยม ติ่งหูยาว มีแขนที่แนบชิดติดลำตัว 
สูงประมาณ 6-30 ฟุต หนักประมาณ 50 ตัน ตั้งอยู่บนฐานหินที่เรียกว่า “อาฮู” (Ahu)

ต่อมาก็มีการสร้างรูปสลักลักษณะแบบเดียวกันแต่สูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และได้มีการเติมส่วนจุกสีแดง หรือที่เรียกว่า “พูคาโอ” (Pukao) บนศีรษะ โดยเชื่อกันว่ารูปสลักเหล่านี้
เป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้า หรือหัวหน้าเผ่าผู้ล่วงลับไปแล้ว จนในปี ค.ศ.1680 ได้เกิดสงครามขึ้นระหว่างสองชนเผ่าที่อาศัยอยู่บนเกาะทำให้ป่าไม้เริ่มหมด อาหารการกินร่อยหรอ
เป็นปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรนี้ล่มสลาย โมอายที่ Ahu Tongariki มี 15 ตัวด้วยกัน

นอกจากนี้ บนเกาะอีสเตอร์ยังมีตำนานเก่าแก่เกี่ยวกับ “มนุษย์ปักษี” (Birdman) โดยตัวแทนของแต่ละเผ่าจะต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากร โดยวิ่งลงหน้าผาสูงชันแล้วว่ายน้ำข้ามไปยังเกาะโมโตนุย (Moto Nui) เพื่อหาไข่แล้วนำไข่ว่ายน้ำกลับมาให้ผู้นำของเผ่านั้นได้ก็ถือว่าชนะ ซึ่งผู้นำเผ่าของผู้ชนะนอกจากจะได้รับการยกย่องให้เป็นมนุษย์ปักษีประจำปีนั้นๆแล้ว ยังได้สิทธิ์การปกครองและการใช้ทรัพยากรอีกด้วย แต่นั้นก็เป็นเพียงตำนานหนึ่งที่เล่าสืบต่อกันมาถึงการล่มสลายของเกาะซึ่งในปัจจุบันก็ยังหาข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนไม่ได้
ชื่อของเกาะนี้ก็เช่นกัน นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเดิมเกาะอีสเตอร์มีชื่อพื้นเมืองว่า “Te Pito O Te Henua” มีความหมายคือ “Navel of The World” หรือ “สะดือของโลก” กระทั่งปี ค.ศ. 1722 ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ นักเดินเรือชาวดัตช์ซึ่งถือเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกได้เดินทางมาพบเกาะเล็กๆที่มากด้วยรูปสลักหินขนาดยักษ์เรียงรายอยู่ตามชายหาดหันหน้าเข้าหาฝั่ง จึงตั้งชื่อเกาะว่า “Easter Inland”






จากนั้นในปี ค.ศ.1770 นักเดินเรือชาวสเปนได้ค้นพบเกาะแห่งนี้อีกครั้ง และพบว่ามีประชากรอยู่นับพันคน อีกไม่กี่ปีต่อมา กัปตัน James Cook ก็ได้มาพบเกาะอีสเตอร์ 
แต่ขณะนั้นประชากรบนเกาะเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน ซึ่งคาดว่าเหตุที่ประชากรลดลงอย่างรวดเร็วน่าจะมาจากการที่ประชากรแย่งกันใช้ทรัพยากรจนหมดไปนั้นเอง

เวลาผ่านไปจนถึงปี ค.ศ.1862 รัฐบาลเปรูได้กวาดต้อนชาวพื้นเมืองไปเป็นทาสบนแผ่นดินใหญ่ และเมื่อทาสบางส่วนถูกปล่อยตัวกลับเกาะ ก็ได้นำเชื้อไข้ทรพิษกลับไปด้วย 
ทำให้ประชากรชาวเกาะทีมีอยู่น้อยยิ่งลดจำนวนลงอย่างมาก บวกกับที่ชาวพื้นเมืองไม่ได้บันทึกเรื่องราวอะไรไว้ ทำให้อารยธรรม ความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองบนเกาะอีสเตอร์
เลือนหายไปพร้อมๆกับผู้คนและกาลเวลา 

จนในศตวรรษ ที่ 19 ประเทศชิลี (Chile) ก็ได้ผนวกเกาะอีสเตอร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในปี ค.ศ.1888 และในเวลาต่อมาได้มีการสร้างสนามบินขึ้นบกเกาะแห่งนี้ 
เกาะอีสเตอร์ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของโลกนับแต่นั้นมา


ปัจจุบันบนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้มีภูเขาไฟที่ดับแล้วอยู่ 3 ลูกได้แก่ ภูเขาไฟราโน รารากู (Rano Raraku), ภูเขาไฟราโน กาโอ (Rano Kao) และ ภูเขาไฟราโน อาโรย (Rana Aroi) 
สำหรับภูเขาไฟราโน กาโอ ตั้งอยู่ตรงปลายเกาะ หากจะขึ้นไปชมด้านบนต้องเดินขึ้นเนินเลียบทะเลขึ้นไปที่ปากปล่อง ด้านบนสามารถชมวิวอันสวยงามของเกาะได้ ส่วนภูเขาไฟราโน รารากู 
ด้านบนปากปล่องภูเขาไฟเป็นทะเลสาบที่สวยงาม และมองเห็นวิวทิศทัศน์ได้กว้างไกล ว่ากันว่าแหล่งกำเนิดของโมอายอยู่ที่ภูเขาไฟแห่งนี้นี่เอง 

นอกจากโมอายแล้ว เกาะอีสเตอร์แห่งนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย เช่น หมู่บ้าน Hanga Roa, หมู่บ้าน Orongo, แหลม Poike, สุสาน Ahu Vinapu 
และชายหาด Anakena ที่สวยงาม เป็นต้น

จากความลี้ลับ อดีตที่ไม่แน่ชัดและปริศนามากมายที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ของเกาะอีสเตอร์ ทำให้เกาะแห่งนี้กลายมาเป็นแหล่งศึกษาทางอารยธรรมของมนุษย์อีกแหล่งหนึ่ง
ซึ่งในวันนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบ และยังคงเป็นปริศนาที่ทิ้งไว้ให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางมาค้นหาคำตอบกันต่อไป 



บทความจาก  www.cmxseed.com

0 ความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

ป้ายกำกับ

คลังรูปภาพ ความรู้เกี่ยวกับเว็บไซต์ ความรู้เทคนิคเคล็ดลับ คำคมโดนๆจากหลายสำนัก เคล็ดลับสาระน่ารู้ โดเมนโฮสติ้ง ตำนานประวัติศาสตร์ แนะนำหนัง สนุก มัน ซึ้ง บทความดีๆที่น่าอ่าน บล็อกและเว็บไซต์ ประเพณีพื้นบ้านไทย ปริศนาโลก ภาพสวยอาร์ตหลากอารมณ์ มุมมองเกี่ยวกับความรัก มุมมองความรัก รวมภาพตุ๊กตาน่ารัก รวมภาพสัตว์น่ารัก รวมภาพสาวเซ็กซี่น่ารัก รวมภาพอาร์ตๆ เรื่องของเห็ดๆ เรื่องจริงที่ไม่น่าเชื่อ เรื่องราวลี้ลับพิศวง วัดพระธาตุนครพนม เว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ สถานที่ท่องเที่ยว จ.ชัยภูมิ สถานที่ท่องเที่ยว จ.นครพนม สถานที่ท่องเที่ยวจากทั่วโลก สถานที่ท่องเที่ยวไทย สร้างรายได้ออนไลน์ สังคมและกฎหมาย สูตรการทำอาหาร อัพเดทสังคมออนไลน์ Anime ภาพการ์ตูนสวยๆ App มือถือ blogger facebook Gif ภาพเคลื่อนไหว Google Opencart Wallpapers